ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology)
อุปกรณ์เครื่องมือที่เก็บรวบรวมข้อมูล ประมวล เก็บรักษา และเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศ ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ ฐานข้อมูล การสื่อสารโทรคมนาคม
ความหมายของข้อมูล และสารสนเทศ
ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของสถานที่ โดยอยู่ ในรูปแบบที่ เหมาะสมต่อการสื่อสาร การแปลความหมายและการประมวลผล ซึ่งข้อมูลอาจจะได้มาจากการสังเกต การรวบรวม การวัด ข้อมูลเป็นได้ทั้งข้อมูลตัวเลขหรือสัญญลักษณ์ใด ๆ ที่สำคัญจะต้องมีความเป็นจริงและต่อเนื่องตัวอย่างของข้อมูล
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผลแล้วเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพข้อมูลทั่วไป ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์หรือมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจหตือตอบ ปัญหาต่าง ๆ ได้
องค์ประกอบระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์
มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ส่วน คือ
- ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่นแป้นพิมพ์ เมาส์ หน่วยประมวลผลกลาง จอภาพ เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ฮาร์ดแวร์จะทำงานตามโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้น
-ซอฟต์แวร์ (Software) บางครั้งเรียกว่าโปรแกรม หรือชุดคำสั่งวัตถุประสงค์หลักของซอฟต์แวร์ที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน คือการประมวลผลข้อมูล (Data) ให้เป็นสารสนเทศ (Information)
Database คือ การจัดระบบของแฟ้มข้อมูล ซึ่งเก็บข้อมูลเกี่ยวข้องกัน
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ซอฟต์แวร์ปฏิบัติการ ได้แก่ แอนดรอย
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ได้แก่ Microsoft office
- เครือข่าย (Network) คือ การเชื่องโยงคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน และช่วยในการติดต่อสื่อสาร
- กระบวนการทำงาน (Procedure) เป็นขั้นตอนการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์หรือข้อสนเทศจากคอมพิวเตอร์ ในการทำงานกับคอมพิวเตอร์จำเป็นที่ผู้ใช้จะต้องเข้าใจขั้นตอนการทำงานเพื่อให้ได้งานที่ถูกต้องและมีประสิทธภาพ
-บุคคล (People) บุคลากรในระดับผู้ใช้ ผู้บริหาร ผู้พัฒนาระบบ นักวิเคราะห์ระบบ และนักเขียนโปรแกรม เป็นองค์ประกอบสำคัญในความสำเร็จของระบบสารสนเทศ บุคลากรมีความรู้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์มากเท่าใดโอกาสที่จะใช้งานระบบสารสนเทศและระบบคอมพิวเตอร์ได้เต็มศักยภาพและคุ้มค่ายิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ (Information Technology)
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computer Technology)
ประเภทของระบบคอมพิวเตอร์ จำแนกออกเป็น 4 ชนิด พิจารณาจากความสามารถในการเก็บข้อมูล และความเร็วในการประมวลผลเป็นหลัก ดังนี้
ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความสามารถในการประมวลผลสูงที่สุด โดยทั่วไปสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการประมวลผลซับซ้อน และต้องการความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานสื่อสารดาวเทียม หรืองานพยากรณ์อากาศ เป็นต้น
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)
เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีส่วนความจำและความเร็วน้อยลง สามารถใช้ข้อมูลและคำสั่งของเครื่องรุ่นอื่นในตระกูล (Family) เดียวกันได้ตัวอย่างของเครื่องเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ คอมพิวเตอร์ของธนาคารที่เชื่อมต่อไปยังตู้ ATM และสาขาของธนาคารทั่วประเทศนั่นเอง
มีลักษณะพิเศษในการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้ มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูล สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
เครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วนของหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุด สามารถใช้งานได้ด้วยคนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC)ปัจจุบัน
เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
- แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับที่บนโต๊ะทำงาน (Desktop Computer)
- แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถพกพาติดตัว อาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของการใช้งานว่า Laptop Computer หรือ Notebook Computer
วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
- ลูกคิดถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องคอมพิวเตอร์เพราะมีหลักการคำนวณ
- เครื่องจักรทอผ้า แมคคาทอนิค
คอมพิวเตอร์ยุคแรก
อยู่ ระหว่าง ปี พ.ศ . 2488 ถึง พ.ศ . 2501 เป็น คอมพิวเตอร์ ที่ ใช้ หลอดสุญญากาศซึ่ง ใช้ กำลัง ไฟ ฟ้า สูง จึง มี ปัญหา เรื่อง ความ ร้อน และ ไส้ หลอด ขาด บ่อย ถึง แม้ จะ มี ระบบ ระบาย ความ ร้อน ที่ ดี มาก การ สั่ง งาน ใช้ ภาษาเครื่องซึ่ง เป็น รหัส ตัว เลข ที่ ยุ่ง ยาก ซับ ซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ ของ ยุค นี้ มี ขนาด ใหญ่ โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อี นิ แอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง
คอมพิวเตอร์ ยุค ที่ สอง อยู่ ระหว่าง ปี พ.ศ . 2502 ถึง พ.ศ . 2506 เป็น คอมพิวเตอร์ ที่ ใช้ ทรานซิสเตอร์ โดย มี แกนเฟอร์ไรท์เป็น หน่วย ความ จำ มี อุปกรณ์ เก็บ ข้อ มูล สำรอง ใน รูป ของ สื่อ บัน ทึก แม่ เหล็ก เช่น จาน แม่ เหล็ก ส่วน ทางด้าน ซอฟต์แวร์ก็ มี การ พัฒนา ดี ขึ้น โดย สามารถ เขียน โปรแกรม ด้วย ภาษา ระดับ สูง ซึ่ง เป็น ภาษา ที่ เขียน เป็น ประโยค ที่ คน สามารถ เข้าใจ ได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษา โค บอล เป็น ต้น ภาษา ระดับ สูง นี้ ได้ มี การ พัฒนา และ ใช้ งาน มา จน ถึง ปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม
คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่
คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า
อินเทอร์เน็ต (Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทิเช่น อีเมลล์ เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่างๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้
ประวัติความเป็นมา
อินเตอร์เน็ต
เป็นโครงการของ ARPA net เป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1960 ทดลองเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยคอลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยยูทาห์ มหาวิทยาลัยพัฒนาโดนการนำภาษาเข้ามาใช้
อินทราเน็ต
คือ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อกันภายในองค์กรเดียวกัน ภายใต้มาตราฐาน (Protocol) ของอินเตอร์เน็ต ซึ่งก็คือ TCP/IP เพื่อสร้างระบบการสื่อสารและการทำงานร่วมกันภายใต้องค์กร
เอ็กทราเน็ต
คือ เครือข่ายที่เชื่อมระหว่างองค์กรต่างๆ ที่มีอินทราเน็ต (Intranet) เข้าด้วยกันซึ่งองค์กรต่างๆ ที่เชื่อมอินทราเน็ต สามารถแชร์ข้อมูลภายในได้ตลอดระหว่างเครือข่ายอินทราเน็ตของตนกับบริษัทคู่ค้าได้อย่างปลอดภัยและประหยัด
ระบบชื่อโดเมน ( Domain-Name Server )
ระบบชื่อโดเมน เป็นระบบการแทนชื่อในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อให้ผู้ใช้สามารถจำได้ง่าย โดยระบบชื่อโดเมนจะประกอบด้วยชื่อหรือชุดของตัวอักษรเป็นกลุ่มๆ โดยใช้เครื่องหมายจุดเป็นตัวแบ่งกลุ่ม เช่น
มี6 กลุ่ม ได้แก่1. com (Commercial Organizations) คือกลุ่มธุรกิจการค้า
cs.ait.ac.th www.intel.com ftp.ai.mit.edu gother.tc.umn.eduโครงสร้างของระบบชื่อโดเมนจะมีลักษณะเป็นลำดับชั้น โดยแบ่งเป็นส่วนย่อยๆ เรียกว่า โดเมนย่อย
(Sub-domain) โดเมนย่อยที่อยู่ทางซ้ายมือจะถือเป็นเป็นส่วนย่อยของโดเมนที่อยู่ทางขวา มือตามลำดับ โดยโดเมนที่อยู่ทางขวามือสุด มีชื่อเรียกว่า "โดเมนระดับบนสุด (Top Level Domain)" ซึ่งจะกำหนดให้เป็นชื่อย่อของประเทศหรือประเภทขององค์กร แล้วมีลำดับลดลงมาจนถึงโดเมนซ้ายสุดเป็นชื่อเครื่องที่ให้บริการ
โดเมนระดับบนสุดในยุคเริ่มต้นอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีใช้เพียงในประเทศสหรัฐอเมริกาและ แคนาดามี6 กลุ่ม ได้แก่1. com (Commercial Organizations) คือกลุ่มธุรกิจการค้า
2. edu (Educational Organizations) คือสถาบันการศึกษา
3. gov (Government Organizations) คือหน่วยงานรัฐบาล
4. mil (Military Organizations) คือหน่วยงานทางทหาร
5. net (Networking Organizations) คือหน่วยงานที่เกี่ยวกับเครือข่าย
6. org (Non-commercial Organizations) คือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
ต่อมาหลายๆ ประเทศได้ทำการเชื่อมเครือข่ายเข้ากับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จึงมีการใช้โดเมนระดับบนสุดแทนด้วยอักษรย่อของประเทศนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น
สำหรับโดเมนระดับบนสุดที่มีการระบุประเทศไว้นั้น จะมีโดเมนย่อยซึ่งสามารถแบ่งประเภทหน่วยงานย่อยลงไปอีกยกตัวอย่างเช่น
co.it แทน บริษัทในประเทศอิตาลี
ac.au แทน สถาบันการศึกษาในออสเตรเลีย
or.th แทน องค์กรไม่หวังผลกำไรในประเทศไทย
go.jp แทน หน่วยงานรัฐบาลในประเทศญี่ปุ่น
การเรียกชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยระบบชื่อโดเมนนั้นมีประโยชน์ในแง่ของการจดจำง่ายสำหรับผู้ใช้งานโดยทั่วๆ ไปแต่สำหรับการทำงานในระดับคอมพิวเตอร์ด้วยกันแล้วก็ยังอาศัยการอ้างอิงตามระ-บบ หมายเลขไอพีอยู่เช่นเดิม
co.it แทน บริษัทในประเทศอิตาลี
ac.au แทน สถาบันการศึกษาในออสเตรเลีย
or.th แทน องค์กรไม่หวังผลกำไรในประเทศไทย
go.jp แทน หน่วยงานรัฐบาลในประเทศญี่ปุ่น
การเรียกชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยระบบชื่อโดเมนนั้นมีประโยชน์ในแง่ของการจดจำง่ายสำหรับผู้ใช้งานโดยทั่วๆ ไปแต่สำหรับการทำงานในระดับคอมพิวเตอร์ด้วยกันแล้วก็ยังอาศัยการอ้างอิงตามระ-บบ หมายเลขไอพีอยู่เช่นเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น